วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2559

ประสบการณ์ผ่าฟันคุด

หลังจากลังเลใจอยู่หลายปี ในที่สุดก็ตัดสินใจผ่าฟันคุด

ครั้งแรกนัดคลินิกแถวบ้านไว้ซะดิบดี
พอวันจริงมาถึง เข้าร้านหมอฟัน รอคิวแป๊ปนึง แล้วก็เข้าไปนั่งเก้าอี้เชือด
ฟังเพื่อนเล่ามาละว่าตอนทำอะ มันไม่เจ็บหรอก เพราะเค้าจะฉีดยาชา เราจะไม่รู้สึกอะไรเลย แต่หลังจากทำเสร็จ ยาชาหมดฤทธิ์แล้วจะปวดมากกกก (ยาชามีฤทธิ์ 2-3 ชั่วโมง)

หมอฟันเค้าก็จัดการฉีดยาชาให้เรา
ถามว่าเราชารึนัง
คือการชามันจะเริ่มมาจากชาที่ลิ้นก่อน (ความรู้สึกคือลิ้นจะรู้สึกซ่าๆ )จากนั้นจะไปที่ริมฝีปาก จะรู้สึกว่าริมฝีปากหนาขึ้น ควบคุมไม่ค่อยได้ (ตอนที่ชาเต็มที่ อมน้ำไว้ในปากยังไม่ได้เลย มันพุ่งปรี๊ด) 
แต่ทีนี้การที่ยาชาจะออกฤทธิ์ของแต่ละคนมันไม่เท่ากันไง มีตั้งแต่ 10 นาทีไปจนถึงเกือบชั่วโมง
ดังนั้น การมาผ่าฟันไม่ควรมาดึกมากนะ ไม่งั้นมันจะกดดัน คือมันก็ใกล้เวลาคลินิกปิดแล้ว ต้องให้ทั้งหมอ ทั้งคนอื่นๆในคลินิกมาอยู่ดึกเพราะเรามันก็เกร็งๆนิดๆ

ของเรานี่ปาไปครึ่งชั่วโมงเลยมั้งกว่ามันจะชาที่ปาก แล้วลงมาที่คาง (ลิ้นชาไปก่อนหน้านั้นนานแล้ว)
ถ้าเกิดเราไม่ชาจริงๆ อย่าไปโกหกหมอ! ไม่ชาก็คือไม่ชา ต้องรอ ไม่งั้นตอนทำมันทำไม่ได้ ก็ต้องหยุดอยู่ดี

พอเริ่มทำ หมอจะกรอเหงือกเราออก เพื่อหาฟัน จากนั้นก็จะดึงฟันออกมา เย็บแปล เสร็จ!
ฟังดูเหมือนง่าย แต่เนื่องจากฟันคุดของเรานั้นมันอยู่ลึกมวากกกกกก
หมอเค้าก็กรอไป กรอไป 3-4 รอบแล้วไม่เห็นฟันซักที
เลยพาเราไป X-ray อีกรอบ (X-ray เครื่องเล็ก เห็นฟัน 2 - 3ซี่)
หมอเค้าบอกในฟิล์มก็เห็นอยู่นะ แต่ทำไมไม่เจอซักทีก็ไม่รู้

หมอลองกรอให้อีกรอบ ไม่เจอซักที หมอเลยเลิกล้มความพยายาม บอกว่าจะส่งเราไปที่คณะทันตะของจุฬา หรือ มหิดล แทน ที่นั่นมีคนที่มีความเชี่ยวชาญเยอะกว่า 
หมอบอกว่าครั้งนี้หมอจะไม่คิดเงินอะไรเลย
เราก็แอบเกรงใจหมอนิดนึง เสียเวลาหมอ เสียยาชาไปเยอะ (ค่อยๆฉีดไปหลายรอบ ไม่ชาซักที) แล้วไหนจะมียาแก้อักเสบ แก้ปวด ที่ให้มาอีก
แล้วก็กลับบ้านมาอย่างงงๆชาๆ ใช้ชีวิตตามปกติไปซักพัก เริ่มรู้สึกหิว

ก็คิดว่าตอนนี้ยาชายังอยู่ น่าจะพอกินได้ เดี๋ยวยาชาหมดฤทธิ์แล้วน่าจะเจ็บมาก เลยตักข้าวมากินหน่อยนึง
ผลก็คือ กินยากมากกกกครับ เพราะปากด้านซ้ายที่ชาอยู่มันควบคุมไม่ได้จริงๆ แป๊ปๆเผลอไปกัดปากอีกแล้ว คือตอนนั้นมันก็ไม่รู้สึกหรอกนะ นึกว่ากัดโดนเนื้ออะไรซักอย่างเหนียวๆ แต่กว่าจะกินเสร็จนี่ปาเข้าไปหลายแผลเลย ตอนกลางคืนส่องกระจกดูปากด้านในแล้วแทบร้องไห้ รอยแดงๆเต็มไปหมด

เป็นบทเรียนไว้เลยว่า ตอนปากชาอยู่ห้ามเคี้ยวอะไรทั้งนั้น 

กินข้าวเสร็จก็ดูการ์ตูนรอเวลาอาหารย่อยก่อนจะเข้านอน แต่พอจะเข้านอนเท่านั้นแหละ เหมือนยาชามันหมดฤทธิ์ เจ็บ มาก ! คือมันก็ไม่ได้ทุรนทุรายมากนะ แต่เจ็บอะ ต้องเอาน้ำแข็งประคบแล้วเอาตุ๊กตามาจิกเลย 

หยิบ nutofen มากินเลยด้วย (หมอให้มา บอกถ้าปวดมากให้กินตัวนี้ แต่ตัวนี้มันกัดกระเพาะ ควรกินหลังอาหารทันที)

กินยาไปซักพักเริ่ม ok ขึ้น ยามันดีจริงๆ ทำครั้งหน้านี่กินยานี้หลังอาหารละ (แต่จะกินอาหารไงวะ ปากชาอยู่)

อ้อลืมอีกเรื่อง เราต้องกัดผ้าก๊อตไว้ด้วยนะ ห้ามเลือดตรงเหงือกนั้นแหละ ถึงหมอจะเย็บเผลอให้แล้วแต่มันก็ยังมีเลือดไหลออกมาอยู่ ก็กัดไว้ เปลี่ยนตอนที่เลือดมันชุ่ม ตอนนอนก็เอาออก (เพราะมันหมดพอดี)
ตอนนอนวันนี้ยังปกติดี (ขอบคุณ nutofen) 

วันรุ่งขึ้น เตรียมตัวไปหาคณะทันตมหิดล (จริงๆอยากไปจุฬา เพราะอยู่สยาม ไปทำงานหรือไปสอนต่อง่าย) แต่หมอบอกว่ามหิดลคนน้อยกว่า มีโอกาสได้ทำเลย

พอไปถึงก็กรอกประวัติ ทำบัตรสมาชิก 20 บาท (จริงๆควรเรียกว่าบัตรผู้ป่วยมากกว่า)
ขึ้นไปชั้น 3 แผนกศัลยกรรมฟัน มีคนรออยู่พอสมควร ขึ้นไปยื่นจดหมายที่หมอเขียนมา ยื่นฟิล์ม ตอนแรกเค้าบอกจะให้นัดไว้อย่างเดียว เพราะวันนี้คิวเต็มแล้ว แต่บอกเค้าไปว่าเราทำมาเมื่อวาน อยากทำวันนี้ต่อเลย ทำอะไรมาบลาๆๆ ไป
เค้าก็เลยให้เราต่อคิวนั่งรออยู่ประมาณ 20 นาที เค้าก็ไล่ให้ไป X ray ใหม่ เพราะเค้าอยากเห็น film หลังจากที่ทำมา (ค่า X ray 400 บาท ไม่รับบัตรเครดิตด้วย :( ) รอ film อีก 15 นาทีแล้วก็ได้เข้าไปทำฟัน
หมอ (เหมือนเป็นนักศึกษามั้ง) ดูๆข้างในปากเราซักพัก ก็ไปปรึกษากับคนอีก 2-3 คน ข้อสรุปก็คือ เรายังมีอาการบวมอยู่ ให้มาทำใหม่วันจันทร์ละกัน

เราก็แบบเซ็งดิ อะไรวะ ทำตั้งแต่วันศุกร์ ปวดไปแล้ว ก็อยากจะปวดทีเดียวจบๆไปเลย นี่ต้องมาปวดใหม่หลายๆรอบ 
แต่เค้าก็ดูพยายามหา solution ให้เรา (จริงๆคิวมันยาวมาก เค้าบอกว่ามาจันทร์เช้าน่าจะพอแทรกได้)

เราก็จำใจเดินออกมาอย่างเศร้าๆ 
กินยาแก้อักเสบให้ตรงเวลา แล้วได้แต่หวังว่า วันจันทร์เราจะหายบวมแล้วมาทำได้ซักที
(ตอนนี้วันอาทิตย์ ยังบวมอยู่เลย :'( )





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น